เมนู

อรรถกถาสาริปุตตเถรมาตุเปติวัตถุที่ 2



พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร
ทรงปรารภนางเปรตผู้มารดาของท่านพระสารีบุตรเถระ โดยชาติ
ที่ 5 แต่ปัจจุบันชาตินี้ จึงตรัสคาถานี้มีคำเริ่มต้นว่า นคฺคา
ทุพฺพณฺณรูปาสิ
ดังนี้.
วันหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ
ท่านพระอนุรุทธะ และท่านพระกัปปินะ ได้อยู่ในราวป่าแห่งหนึ่ง
ไม่ไกลแต่กรุงราชคฤห์. ก็สมัยนั้นแล ในกรุงพาราณสี มีพราหมณ์
คนหนึ่ง เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก เป็นดุจบ่อที่ดื่มกิน
ของสมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจก ได้ให้
สิ่งของมีข้าว น้ำ ผ้า และที่นอนเป็นต้น และเมื่อจะให้ ย่อมปฏิบัติ
ตามความพอใจทุกอย่าง ตามลำดับของการให้มีน้ำล้างเท้า และ
ผ้าเช็ดเท้าเป็นต้น ตามเวลาและตามความเหมาะสมแก่คนผู้มาถึง
แล้ว ๆ. ในเวลาก่อนอาหารได้อังคาสภิกษุทั้งหลายด้วยข้าวและ
น้ำเป็นต้น โดยเคารพ. เธอเมื่อจะไปถิ่นอื่นจึงกล่าวกะภรรยาว่า.
นางผู้เจริญ เธออย่าได้ทำทานวิธีนี้ตามที่บัญญัติให้เสื่อมเสีย
จงหมั่นดำรงไว้โดยเคารพ. ภรรยารับคำแล้ว พอสามีหลีกไป
เท่านั้น ก็ตัดขาดวิธีที่บัญญัติไว้เพื่อภิกษุทั้งหลาย เป็นอันดับแรก
แต่เมื่อคนเดินทางเข้าไปเพื่ออยู่อาศัย ก็แสดงศาลาที่เก่าที่ทอดทิ้ง
ไว้หลังเรือนด้วยคำว่า พวกท่านจงอยู่ที่ศาลานี้. เมื่อคนเดินทาง

มาในที่นั้นเพื่อต้องการข้าวและน้ำเป็นต้น จึงกล่าวว่า จงกินคูถ
ดื่มมูตร ดื่มโลหิต กินมันสมองของมารดาท่าน แล้วจึงระบุชื่อ
ของสิ่งที่ไม่สะอาด น่าเกลียด แล้วถ่มน้ำลาย
สมัยต่อมา นางทำกาละแล้ว อันอานุภาพกรรมซัดไป บังเกิด
ในกำเนิดเปรต เสวยทุกข์อันเหมาะสมแก่วจีทุจริตของตน หวน
ระลึกถึงความสัมพันธ์กันในชาติก่อน มีความประสงค์จะมายัง
สำนักของท่านพระสารีบุตร จึงถึงประตูวิหาร. เทวดาผู้สิงอยู่
ที่ประตูวิหารของท่านพระสารีบุตรนั้น ห้ามเข้าวิหาร. ได้ยินว่า
นางเปรตนั้นได้เคยเป็นมารดาของพระเถระ ในชาติที่ 5 แต่ปัจจุบัน
ชาตินี้. เพราะฉะนั้น เธอจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดิฉันเป็นมารดาของ
พระผู้เป็นเจ้าสารีบุตรเถระ ในชาติที่ 5 แต่ปัจจุบันชาติ ขอท่าน
จงให้ดิฉันเข้าประตู เพื่อเยี่ยมพระเถระ. เทวดาได้ฟังดังนั้นจึง
อนุญาตให้นางเข้าไป นางครั้นเข้าไปแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่สุดที่
จงกรมแสดงตนแก่พระเถระ. พระเถระครั้นได้เห็นนางเปรตนั้น
เป็นผู้มีใจอันความกรุณาตักเตือน จึงถามด้วยถาคาว่า
ท่านเป็นผู้เปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด
ซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ดูก่อนนาง
ผู้ซูบผอม มีแต่ซี่โครง ท่านเป็นใครหรือ จึงมา
ยืนอยู่ในที่นี้.

นางเปรตนั้นถูกพระเถระถาม เมื่อจะให้คำตอบจึงได้กล่าว
ถาคา 5 คาถา ความว่า

เมื่อก่อนดิฉันเป็นมารดาของท่าน ในชาติ
อื่น ๆ ดิฉันเข้าถึงเปตวิสัย เพียบพร้อมไปด้วย
ความหิว และความกระหาย เมื่อถูกความหิว
ครอบงำ ย่อมกินน้ำลาย น้ำมูก เสมหะ ที่เขาถ่ม
ทิ้ง และกินมันเหลวของซากศพ ที่เขาเผาที่เชิง
ตะกอน กินโลหิตของพวกหญิงที่คลอดบุตร และ
โลหิตของพวกบุรุษที่ถูกตัดมือ เท้า และศีรษะ
ที่เป็นแผล กินเนื้อ เอ็น และข้อมือข้อเท้าเป็นต้น
ของชายหญิง กินหนองและเลือดของปศุสัตว์
และมนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีที่เร้น ไม่มีที่อยู่อาศัย
นอนบนเตียงของคนตายที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า ลูก
เอ๋ย ขอลูกจงให้ทานแล้วอุทิศส่วนบุญแก่เราบ้าง
ไฉนหนอแม่จึงจะพ้นจากการกินหนองและเลือด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหํ เต สกิยา มาตา ความว่า
เราเองเป็นมารดาของท่านโดยกำเนิด. ด้วยคำว่า ปุพฺเพ อญฺญาสุ
ชาตีสุ
นี้ พึงเห็นว่า เราไม่ใช่จะเป็นมารดาแม้แต่ในชาตินี้ โดย
ที่แท้ในชาติก่อน คือ ในชาติอื่น ๆ เราก็ได้เป็นมารดาในชาติที่ 5
แต่ชาติปัจจุบันนี้. บทว่า อุปปนฺนา เปตฺติริสยํ ความว่า เข้าถึง
เปตโลกโดยปฏิสนธิ. บทว่า ขุปฺปิปาสสมปฺปิตา แปลว่า ถูกความหิว
และความกระหายครอบงำ อธิบายว่า ถูกความหิวและความกระหาย
ครอบงำอยู่ไม่ขาดระยะ.

บทว่า ฉฑฺฑิตํ ได้แก่ เป็นเดน อธิบายว่า อันเขาคายกลัว.
บทว่า ขิปิตํ ได้แก่ มลทินที่ออกจากปากพร้อมกับอาหารที่เขาทิ้ง.
บทว่า เขฬํ แปลว่า การถ่มน้ำลาย. บทว่า สงฺฆาณิกํ ได้แก่ มลทิน
ที่ไหลออกจากสมอง แล้วไหลออกทางจมูก. บทว่า สิเลสุมํ ได้แก่
เสมหะ. บทว่า วสญฺจ ฑยฺหมานานํ ได้แก่ น้ำมันเหลวของซากศพ
ที่ถูกเผาบนเชิงตะกอน. บทว่า วิชาตานญฺจ. โลหิตํ ได้แก่ โลหิต
ของหญิงผู้คลอด มลทินครรภ์ท่านสงเคราะห์ด้วย จ ศัพท์. บทว่า
วณิกานํ ได้แก่ แผลที่เกิดขึ้นเอง. บทว่า ยํ เชื่อมด้วยบทว่า
ยํ โลหิตํ. บทว่า ฆานสีสจฺฉินนานํ ได้แก่ โลหิตใด ของผู้ถูกตัดจมูก
และถูกตัดศีรษะ. มีวาจาประกอบความว่า เรากินซึ่งโลหิตนั้น.
บทว่า ฆานสีสจฺฉินฺนานํ นี้ เป็นหัวข้อแห่งเทศนา ด้วยบทว่า
ฆานสีสจฺฉินฺนานํ นี้ พึงเห็นว่า เพราะเหตุที่โลหิต แม้ของคนที่
ถูกตัดมือและเท้าเป็นต้น เราก็กินเหมือนกัน อนึ่งด้วยบทว่า วณิกานํ
นี้ พึงเห็นว่า ท่านสงเคราะห์เอาโลหิตของคนที่ถูกตัดมือและเท้า
เป็นต้นแม้เหล่านั้น. บทว่า ขุทาปเรตา ได้แก่ เป็นผู้ถูกความหิว
ครอบงำ. ด้วยบทว่า อิตฺถีปุริสนิสฺสิตํ นี้ ท่านแสดงว่า เราจะกิน
หนัง เนื้อ เอ็น และหนองเป็นต้น ที่อาศัยร่างกายของสตรีและ
บุรุษ และอย่างอื่นตามที่กล่าวแล้ว.
บทว่า ปสูนํ ได้แก่ แห่งแพะ โค และกระบือ เป็นต้น. บทว่า
อเลณา แปลว่า ไม่มีที่พึ่ง. บทว่า อนคารา แปลว่าไม่มีที่อยู่.
บทว่า นีลมญฺจปรายนา ได้แก่ นอนบนเตียงที่สกปรก ที่เขาทิ้งไว้

ในป่าช้า. อีกอย่างหนึ่ง พื้นที่ป่าช้าที่มากไปด้วยเถ้าและถ่านเพลิง
ท่านประสงค์เอาว่า นีล, อธิบายว่า นอนทับพื้นที่ป่าช้านั้นนั่นแหละ
เหมือนนอนบนเตียง. บทว่า อนฺวาทิสฺหิ เม ความว่า ท่าน
จงให้ปัตติทานอุทิศ โดยประการที่ส่วนบุญที่ให้แล้วจะสำเร็จ
แก่เราได้. ทว่า อปฺเปว นาม มุจฺเจยฺยํ ปุพฺพโลหิตโภชนา ความว่า
ไฉนหนอ เราพึงพ้นจากชีวิตเปรต อันมีหนองและเลือดเป็นอาหาร
นั่นเพราะการอุทิศของท่าน.
ท่านพระสารีบุตรเถระ ได้สดับดังนั้นแล้ว ในวันที่สอง
จึงเรียกพระเถระ 3 รูป มีท่านพระมหาโมคคัลลานเถระเป็นต้นมา
พร้อมด้วยพระเถระเหล่านั้นเที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
ได้ไปถึงพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าพิมพิสาร. พระราชาเห็น
พระเถระแล้ว จึงถามถึงเหตุแห่งการมาว่า ท่านขอรับ ท่านมา
ทำไม ? ท่านพระมหาโมคคัลลานะ จึงได้ทูลเรื่องนั้นแด่พระราชา
พระราชาตรัสว่า โยมรู้แล้ว แล้วจึงละพระเถระ รับสั่งให้เรียก
อำมาตย์ผู้สำเร็จราชการ ทรงพระบัญชาว่า เธอจงสร้างกุฎี 4
หลังในที่นี้อันสมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำ อันวิจิตร ไม่ไกลแต่เมือง
และในภายในพระราชวัง ให้แบ่งเป็น 3 ส่วน โดยที่มีความพิเศษ
เพียงพอแล้วให้รับกุฎี 4 หลัง. และพระองค์เองก็ได้เสด็จไปในที่นั้น
ได้ทรงกระทำพระราชกรณียกิจที่ควรทำ. เมื่อกุฎีสำเร็จแล้ว
จึงให้ตระเตรียมพลีกรรมทั้งหมด เข้าไปตั้งข้าวนำและผ้าเป็นต้น
และเครื่องบริขารทุกอย่างที่สมควรแก่ภิกษุสงฆ์ที่มาจากทิศ

ทั้ง 4 มี พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วมอบถวายสิ่งทั้งหมดนั้น
แต่ท่านพระสารีบุตรเถระ. ลำดับนั้น พระเถระ ได้ถวายสิ่งทั้งหมด
นั้น แต่ภิกษุสงฆ์มาจากทิศทิ้ง 4 มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
อุทิศแก่นางเปรตนั้น. นางเปรตนั้น ได้อนุโมทนาส่วนบุญนั้นแล้ว
บังเกิดในเทวโลก เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยสิ่งที่น่าปรารถนาทุกอย่าง
ในวันต่อมา ก็ได้เข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ไหว้แล้ว
ยืนอยู่. พระเถระสอบถามนางเปรตนั้น. นางเปรตนั้น ได้แจ้ง
เหตุที่ตนเข้าถึงความเป็นเปรต และเข้าถึงความเป็นเทวดาอีก.
ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า :-
ท่านพระสารีบุตรเถระผู้มีจิตอนุเคราะห์
ได้ฟังคำของมารดาแล้ว จึงปรึกษากับท่านพระ-
มหาโมคคัลลานะเถระ ท่านพระอนุรุทธะและ
ท่านพระกัปปินะ แล้วให้สร้างกุฏิ 4 หลัง ถวาย
กุฎีทั้งข้าวและน้ำแด่พระสงฆ์มาจากทิศทั้ง 4
อุทิศส่วนกุศลไปให้แก่มารดา. ในทันใดนั้นเอง
วิบากคือ ข้าว น้ำ และผ้าก็เกิดขึ้น นี้เป็นผลแห่ง
ทักษิณา ภายหลังนางมีร่างกายบริสุทธิ์สะอาด
นุ่งห่มผ้าอันมีค่า ยิ่งกว่าผ้าแคว้นกาสี ประดับ
ด้วยวัตถาภรณ์อันวิจิตร เข้าไปทาท่านพระมหา-
โมคคัลลานะเถระ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สงฺเฆ จาตุทฺทิเส อทา ความว่า
ได้ถวาย คือมอบถวาย แก่สงฆ์ ผู้มาแต่ทิศทั้ง 4. คำที่เหลือมีนัย
ดังกล่าวแล้วนั่นแล.
ลำดับนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ถามนางเปรตนั้นว่า
ดูก่อน นางเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่ง
นัก ส่องสว่างไสวไปทุกทิศ สถิตอยู่ ดุจดาว
ประกายพรึก. ท่านมีวรรณะเช่นนี้ เพราะกรรม
อะไร อิฐผลย่อมสำเร็จแก่ท่านในวิมานนี้ เพราะ
กรรมอะไร และโภคะทุกสิ่งทุกอย่าง อันเป็นที่
พอใจ ย่อมบังเกิดแก่ท่าน เพราะกรรมอะไร.
ดูก่อน นางเทพธิดา ผู้มีอานุภาพมาก
อาตมภาพขอถามท่าน เมื่อท่านเป็นมนุษย์ ได้ทำ
บุญอะไรไว้ อนึ่งท่านมีอานุภาพรุ่งเรือง และมี
รัศมีกายสว่างไสวไปทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญ
อะไร.

ลำดับนั้น นางเปรตจึงตอบโดยนัยมีอาทิว่า ดิฉัน เป็น
มารดาของท่านพระสารีบุตร. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
ลำดับนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะเถระ ได้กราบทูลเรื่องนั้น
แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำเรื่องนั้น
ให้เป็นอัตถุปปัตติเหติแล้ว ทรงแสดงธรรมแก่บริษัทผู้เข้าถึง
พร้อมแล้ว. เทศนานั้นได้มีประโยชน์แก่มหาชน ฉะนั้นแล.
จบ อรรถกถาสาริปุตตเถรมาตุเปติวัตถุที่ 2

3. มัตตาเปติวัตถุ



ว่าด้วยผู้ดุร้ายตายเป็นนางเปรต



นางติสสาถามหญิงเปรตตนหนึ่งว่า
[100] ดูก่อนนางเปรตผู้ซูบผอมมีแต่ซี่โครง ท่าน
เป็นผู้เปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอม มี
ตัวสพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ท่านเป็นใคร มายืนอยู่
ในที่นี้.

นางเปรตนั้นตอบว่า
เมื่อก่อน ท่านชื่อติสสา ส่วนฉันชื่อมัตตา
เป็นหญิงร่วมสามีกับท่าน ได้ทำกรรมอันลามก
ไว้ จึงจากมนุษยโลกนี้ไปสู่เปตโลก

นางติสสาถามว่า
ท่านได้ทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา
ใจ หรือ เพราะวิบากแห่งกรรมอะไร ท่านจึงจาก
มนุษยโลกนี้ไปสู่เปตโลก.

นางเปรตนั้นตอบว่า
ฉันเป็นหญิงดุร้ายและหยาบคาย มักหึง-
หวง มีความตระหนี่ เป็นคนโอ้อวด ได้กล่าววาจา
ชั่วกะท่าน จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก